การทำ IF เรียนรู้หลักการที่ถูกต้อง ช่วยลดน้ำหนักพร้อมลดโรค
                การทำ IF (Intermittent Fasting) คือ การอดอาหารเป็นช่วง ๆ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะการลดน้ำหนักในวิธีนี้ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการบริโภคอาหาร แต่เป็นการกำหนดเวลาในการรับประทานอาหารเพื่อลดพลังงานที่ร่างกายจะได้รับแทน
แน่นอนว่า หากคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังให้ความสนใจที่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีการทำ IF ก็ควรจะเรียนรู้หลักการที่ถูกต้องเสียก่อน เพราะการเข้าใจวิธีการอย่างถ่องแท้ จะช่วยให้คุณสามารถเห็นผลจากการลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคร้ายกับร่างกายได้อีกด้วย และในบทความนี้เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับการทำ IF ที่ถูกต้อง
ประโยชน์ของ การทำ IF
นอกเหนือจากการลดน้ำหนักที่เป็นเป้าหมายหลักของการทำ IF แล้ว ยังช่วยส่งผลดีต่อเรื่องสุขภาพของคุณอีกด้วย เพราะเมื่อน้ำหนักลดลง ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง ก็จะลดลงไปด้วย
และยังมีการวิจัยออกมาแล้วด้วยอีกว่าการทำ IF มีแนวโน้มทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้นอีกด้วย เพราะวิธีการนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเกิดการกลืนกินตัวเองของเซลล์ กระบวนการนี้ยังช่วยซ่อมแซมร่างกายในระดับเซลล์ เพราะร่างกายจะสร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนเสมอ

รูปแบบของ การทำ IF
หากคุณกำลังสงสัยว่าการทำ IF มีกี่แบบ ต้องบอกเลยว่า วิธีการลดน้ำหนักด้วยวิธี IF มีรูปแบบการทำที่หลากหลายมากๆ แต่ที่ได้รับความนิยมกันโดยส่วนมาก มีดังนี้
สูตร 16/8
กินอาหารในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 16 ชั่วโมง สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มทำ IF เพราะทำได้ง่าย ทำได้ต่อเนื่อง และไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากนัก
สูตร 19/5 หรือ Fast 5
กินอาหารเพียง 5 ชั่วโมง และอดอาหารในช่วงเวลา 19 ชั่วโมง
แบบ Eat Stop Eat
อดอาหาร 24 ชั่วโมง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนวันที่ไม่อดก็กินตามปกติ แต่ต้องกินให้เหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
แบบ 5:2
กินอาหารปกติ 5 วันและกินแบบ Fasting 2 วันในช่วง 1 สัปดาห์ สามารถเลือกกินแบบ Fasting 2 วันติดกันหรือห่างกันก็ได้ ไม่ต้องอดอาหาร แต่เน้นไปที่การลดปริมาณอาหาร และจำกัดแคลอรี่แทน โดยผู้ชายกินได้ 600 แคลอรี่ ส่วนผู้หญิงกินได้ 500 แคลอรี่ต่อวัน
อดอาหารแบบวันเว้นวัน
วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่เข้าใจหลักการการทำ IF เป็นอย่างดีเท่านั้น เพราะเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะหักโหม โดยผู้ทำต้องอดอาหาร 1 วัน สลับมากินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอาหารอีก 1 วัน ในวันที่กินอาหาร ต้องกินอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ และต้องกินให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้อีกด้วย
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับ การทำ IF
การลดน้ำหนักด้วยวิธีการทำ IF ไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคน เพราะมีการอดอาหารอยู่ในกระบวนการ และด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้การทำ IF ไม่เหมาะสำหรับกลุ่มคนดังต่อไปนี้
- บุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะร่างกายกำลังอยู่ในช่วงเจริญเติบโต ควรได้รับพลังงานและสารอาหารอย่างครบถ้วน อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตแบบถาวรได้
 - ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ อาจส่งผลต่อลูกน้อยในครรภ์ ทำให้ลูกน้อยเจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่
 - ผู้ที่มีภาวะขาดสารอาหารอยู่แล้ว เพราะการลดน้ำแบบ IF จะทำให้อาการรุนแรงกว่าเดิม
 - ผู้สูงอายุ อาจทำให้ขาดสารอาหาร ก่อให้เกิดโรคได้ง่าย
 

ระหว่างทำ IF ควรกินอาหารแบบใด
การทำ IF ไม่ใช่แค่เพียงการลดปริมาณอาหารที่กินเท่านั้น แต่คุณต้องเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอีกด้วย เพื่อให้การลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้มีผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพของคุณในระยะยาว โดยเน้นไปที่สารอาหารเหล่านี้
- โปรตีน ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้นาน เร่งระบบการเผาผลาญ
 - ไขมันดี อย่างเช่น น้ำมันมะกอก อัลมอนด์ กรีกโยเกิร์ต ช่วยเพิ่มไขมันดีในร่างกาย ลดไขมันเลว เร่งการเผาผลาญ รวมไปถึงการสร้างฮอร์โมนที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย
 - ผักหรือผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องระบบการขับถ่าย เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ให้กับร่างกาย
 - คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ตัวอย่างเช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สม่ำเสมอ
 
การทำ IF หรือการกินอาหารแบบจำกัดเวลา เป็นอีกหนึ่งวิธีการลดน้ำหนักที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน หากผู้ทำเข้าใจหลักการการทำที่ถูกต้อง มีวินัยในการลดน้ำหนัก จะช่วยให้คุณสามารถรักษารูปร่างที่ดีได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ได้อีกด้วย อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่ควรตระหนักไว้ คือการลดน้ำหนักแบบ IF ไม่ใช่วิธีที่จะเหมาะสำหรับทุกคน และแต่ละคนก็อาจจะได้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน เพราะสภาพร่างกายของแต่ละคนมีความแตกต่างกันอยู่แล้ว เลือกวิธีการลดน้ำหนักที่เหมาะกับตัวเองที่ดีที่สุดจะดีกว่า เพื่อสุขภาพในระยะยาวของคุณเอง
